ข่าวกิจกรรม
บริษัทเพรลูดมิวสิกจำกัด ร่วมกับสมาคมครูดนตรี(ประเทศไทย)
ภูมิใจเสนอการสัมมนาเรื่อง “คลายความสงสัยเกี่ยวกับการใช้เปียโนเพิดเดิล”
แก้ไขล่าสุด ( วันอาทิตย์ที่ 04 กันยายน 2011 เวลา 21:36 )
บริษัทเพรลูดมิวสิกจำกัด ร่วมกับสมาคมครูดนตรี(ประเทศไทย)
ภูมิใจเสนอการสัมมนาเรื่อง “คลายความสงสัยเกี่ยวกับการใช้เปียโนเพิดเดิล”
วิทยากรรับเชิญ
หม่อมราชวงศ์ วิไลกัญญา วิชัยดิษฐ์ (ครูปลา)
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2554 เวลา 09.00 – 13.30 น.
ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาสยามพารากอน ชั้น 4Aกำหนดลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาฯ: ตั้งแต่ วันที่ 25 สิงหาคม – 20 กันยายน 2554
ไม่รับลงทะเบียนหน้างาน
(รับจำนวนจำกัด)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่
บริษัทเพรลูด มิวสิก จำกัด
โทร.02-965-1124,085-832-4991
Teaching 20th Century Piano Pieces
Prelude Music ร่วมกับ สมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) และสมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) ขอเชิญครูสอนเปียโน และผู้สนใจเข้าร่วมการอบรมเชิงสัม นาพิเศษ เรื่อง Teaching 20th Century Piano Pieces รุ่น 2 (เราจะสามารถเข้าใจ ตีความและสอนเพลงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนุกสนานได้อย่างไร) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภนันท์ จันทร์อรทัยกุล ในวันอังคารที่ 23 - วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2552 เวลา 10:00 - 13:30 น. ณ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาสยามพารากอน ชั้น 4A
ผู้เข้าอบรมจะได้รับวุฒิบัติ PRELUDE MUSIC ร่วมกับสมาคมครูดนตรี (ประเทศไทย) และ สมาคมโรงเรียนดนตรี (ประเทศไทย)
ลงทะเบียนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม รับ หนังสือประกอบการอบรมฯ ฟรี 3 เล่ม มูลค่า 4,500.-
รับจำนวนจำกัด พิเศษเฉพาะสมาชิก Prelude Music ที่ลงทะเบียนภายใน วันที่ 15 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2552 รับส่วนลดพิเศษ 10% (งดรับลงทะเบียนหน้างาน)
อัตราค่าอบรม สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2552 เท่านั้น (ทุกโปรแกรม รับ จำนวนจำกัด)
PROGRAM: A | PROGRAM: B | PROGRAM: C |
หนังสือ 3 เล่ม + DVD 2 แผ่น + CD 2 แผ่น บุคคลทั่วไป 5,000 / ท่าน สมาชิกฯ 4,500 / ท่าน | หนังสือ 2 เล่ม + DVD 2 แผ่น อัตราค่าอบรม 4,000 / ท่าน เฉพาะผู้เคยเข้าอบรม History of Piano Masterworks | AUDIENCE without book + DVD + CD บุคคลทั่วไป 1,500 / ท่าน สมาชิกฯ 1,200 / ท่าน |
ทางคณะผู้จัดขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข การจัดอบรม โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PRELUDE MUSIC โทร. 085-832-4991 แฟกซ์ 02-669-1696 E-mail: preludemusicbook@gmail.com
แก้ไขล่าสุด ( วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2009 เวลา 16:25 )
ANZCA Modern Piano & Violin Competition 2009
องค์กรดนตรีออสเตรเลีย น-นิวซีแลนด์ (ANZCA) ร่วมกับ Austrade (Australian Embassy) และ BMAS Music Academy จัดการ แข่งขันดนตรี ANZCA Modern Piano & Violin Competition 2009
24th October 2009 - 1st November 2009 At Goethe Institute Auditorium, Sathorn 1, Bangkok, Thailand
Note: All contestants will receive the Certificate of Competition Participation from ANZCA
กำหนดเวลารับสมัคร (Deadline for enrollment)
เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันอาทิตย์ ที่ 1 มีนาคม 2552 - วันศุกร์ ที่ 31 กรกฎาคม 2552
From Sunday 1st March 2009 - Friday 31st July 2009
รอบชิงชนะเลิศ (Final Stage competition)
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552 (ราคาบัตรผู้ใหญ่ 300 บาท, นักเรียน 200 บาท) พร้อมชม Recital
Sunday 1st November 2009 (Ticket: Adult 300.-, Students 200.-) including Recital
สัมนาวิชาเปียโนแนวโมเดิร์นและไวโอลิน (Modern Piano & Violin Workshop / Seminar)
สัมนาฟรีสำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกท่านและอาจารย์ผู้ส่ง (Free !!! Piano and Violin Workshop / Seminar for all registered contestants and teachers)
For more information please contact :
* Bmas Music Academy (โรงเรียน ดนตรีบีแมส)
No.9 Soi Prompak (49/6) Sukhumvit 49 Wattana Bangkok 10110
Tel. / โทร. 0-2712-7940 , 0-2712-79943 , 081-621- 4307
* สาขาวิชาดนตรีและการแสดง (ดนตรีสากล)
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อ.เมือง จ.ชลบุรี
โทร. 0 3810 2222 ต่อ 2507 หรือ 086-358-1493
หรือ Download ใบสมัครได้ที่ http://www.mupabuu.com
24th October 2009 - 1st November 2009 At Goethe Institute Auditorium, Sathorn 1, Bangkok, Thailand
Categories & Awards (Both Piano and Violin) | |
ระดับ A อายุ 11 ปีและต่ำกว่า 11 ปี (Level A 11 years old and under) | |
First Prize | Gold Medal + 8,000 Baht |
Second Prize | Silver Medal + 5,000 Baht |
Third Prize | Bronze Medal |
ระดับ B อายุ 15 ปีและต่ำกว่า 15 ปี (Level B 15 years old and under) | |
First Prize | Gold Medal + 10,000 Baht |
Second Prize | Silver Medal + 7,000 Baht |
Third Prize | Bronze Medal |
อัตราค่าสมัคร (Enrollment fee) | |
Bangkok & other regions: | |
Level A 1,200 Baht | Level B 1,500 Baht |
Eastern Region (at Burapha University, Chonburi): | |
Level A 1,000 Baht | Level B 1,200 Baht |
เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันอาทิตย์ ที่ 1 มีนาคม 2552 - วันศุกร์ ที่ 31 กรกฎาคม 2552
From Sunday 1st March 2009 - Friday 31st July 2009
กำหนดวันแข่งขัน (Competition dates) | |
กรุงเทพฯ และ ภาคอื่นๆ | วันเสาร์ ที่ 24 ตุลาคม 2552 - วันอาทิตย์ ที่ 1 พฤศจิกายน 2552 |
Bangkok & other regions | Sunday 24th October 2009 - Monday 1th November 2009 |
ภาคตะวันออก ที่ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี (เฉพาะเปียโน) | วันอาทิตย์ ที่ 18 ตุลาคม 2552 - วันจันทร์ ที่ 19 ตุลาคม 2552 |
Eastern Region (at Burapha University) (Only Piano) | Sunday 18th OCtober 2009 - Monday 19th October 2009 |
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552 (ราคาบัตรผู้ใหญ่ 300 บาท, นักเรียน 200 บาท) พร้อมชม Recital
Sunday 1st November 2009 (Ticket: Adult 300.-, Students 200.-) including Recital
สัมนาวิชาเปียโนแนวโมเดิร์นและไวโอลิน (Modern Piano & Violin Workshop / Seminar)
สัมนาฟรีสำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกท่านและอาจารย์ผู้ส่ง (Free !!! Piano and Violin Workshop / Seminar for all registered contestants and teachers)
For more information please contact :
* Bmas Music Academy (โรงเรียน ดนตรีบีแมส)
No.9 Soi Prompak (49/6) Sukhumvit 49 Wattana Bangkok 10110
Tel. / โทร. 0-2712-7940 , 0-2712-79943 , 081-621- 4307
* สาขาวิชาดนตรีและการแสดง (ดนตรีสากล)
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อ.เมือง จ.ชลบุรี
โทร. 0 3810 2222 ต่อ 2507 หรือ 086-358-1493
หรือ Download ใบสมัครได้ที่ http://www.mupabuu.com
แก้ไขล่าสุด ( วันอาทิตย์ที่ 04 กันยายน 2011 เวลา 19:08 )
ภาพกิจกรรม
พิเศษ! ทุก กิจกรรมที่จัดขึ้น สมาชิกของ PRELUDE MUSIC จะได้รับส่วนลดในการเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละครั้ง
บทความ
ความสำคัญและบทบาทของ Chromatic harmony
ความสำคัญและบทบาทของ Chromatic harmony
Chromatic ใน ยุคแรกๆที่เริ่มเกิดขึ้น มีสาเหตุจากความต้องการหนีออกจากขอบเขตและสำเนียงเสียงที่คุ้นหู การประสานที่ฟังเป็นระเบียบ ออกมาแสวงหาพัฒนาต่อ ในปลายยุคคลาสสิค เบโธเฟ่นเป็นผู้ก้าวออกจากแนวคิดเดิมๆของการประสานเสียง ( สะท้อนอยู่ในผลงานชิ้นเล็กใหญ่ทั้งหลาย เช่น Sonata และ Symphony ที่โน้มน้าวอารมณ์ ) สำเนียงของ Chromatic เริ่มแฝงอยู่ตั้งแต่ยุคปลายของเบโธเฟ่นนั้นมา
จากสมัยนั้น chromatic ได้ใช้ในในการดำเนินทำนอง ในลักษณะ sequence ของประโยค หรือ ในการเปลี่ยนบันไดเสียงชั่วขณะ ในการขอยืม chord ของบันไดเสียง minor คู่ขนาน การเรียง movement ที่ นำท่อนช้าขึ้นมาก่อนเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะต้องเกิดบนเส้นทางของวิวัฒนาการทางกฎเกณฑ์ ซึ่งๆค่อยๆคลายตัวออกสู่เส้นทางที่กว้างและหลากหลายกว่า
จากคลาสสิคถึงยุคโรแมนติคตอนต้น คีตกวีหลายคนสร้างผลงานที่ยังอยู่ในกรอบล้อมของ Structure และ Form ( รูปแบบและเนื้อหา ) อัน เคร่งครัดแน่นอน แต่การเรียบเรียงภายในมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างสูง สิ่งที่เห็นเป็นตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงคือ ความคมชัดของจุดตัดหรือจุดเปลี่ยนโครง Chord จะไม่ เรียบง่ายเหมือนเก่า ความตรงไปตรงมาของการประสานเสียงที่ลดน้อยลง มักจะถูกสอดแทรกไว้ด้วยขั้นตอนและการพัฒนาแปรสภาพที่มากขึ้น เสียงที่โยงใยสนับสนุนเชื่อมต่อกันอยู่ภายในทำให้พื้นผิวของดนตรี (texture) เปลี่ยนไป ลูกจบ (cadence) ที่มีรูปแบบ น้ำหนัก และโอกาสใช้งานต่างๆกัน เมื่อผ่านเลยมาถึงยุคโรแมนติคตอนปลายคุณสมบัติต่างๆก็ขยายขอบเขตครอบคลุมมากขึ้น
ดนตรี โรแมนติคยุคนี้จะก้าวเข้าไปสู่ช่วงที่มีความผันผวนคลุมเครือในบันได เสียงอย่างมาก ลักษณะการสอดประสานนั้นหนาแน่นกว่า และมีลักษณะกลบเกลื่อนศูนย์กลางและตัวหลักสำคัญในบันไดเสียง เป็นต้นว่า tonic และ dominant จะปรากฏเฉพาะช่วงสำคัญและหายไปเป็นเวลานาน ,cadence อาจจะเกิดเลื่อนลอยย้ายตำแหน่งบันไดเสียงไปเรื่อยๆ
การใช้ chromatic chord, chromatic sequence ที่เกิดขึ้นติดต่อกัน เป็นระยะทางยาว เป็นสัดส่วนที่ใช้เวลาดำเนินเพลงมาก เมื่อเทียบกับยุคโรแมนติคตอนต้นซึ่ง chromatic ซึ่งเกิดขึ้นในยุคแรกจะยึดถือโครงสร้างของ form, harmony และ chord progression ไว้ยืนพื้นมากกว่า
Chromatic ที่ คีตกวีนำมาใช้ยุคโรแมนติคตอนปลายจะครอบคลุมอยู่แทบทุกส่วนของเนื้องาน โดยสัญชาตญาณในการนำมาใช้ใช้ ในหลายๆผลงาน ครึ่งหนึ่งของการจัดองค์ประกอบ เป็นการจัดเรียง sequence ที่สัมพันธ์กันเป็นขั้นครึ่งเสียง เป็น relative minor และ จัดวาง harmonic sequence ที่สัมพันธ์กันในระยะทางที่เป็น tritone การ ย้ายบันไดเสียงออกจากความจำเจด้วยการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบันไดเสียงที่ อยู่ห่างไกลกันมากขึ้น คือเป็นบันไดเสียงที่เป็นญาติของญาติกันหลายชั้น
หลายครั้งที่วางบันไดเสียงที่หักมุมกันมาไว้ใกล้กัน หรือการเปลี่ยนอย่างฉับพลัน (abrupt switch) เช่นจาก C major สู่ E major ในช่วงแรกของอุปรากร Don Juan ของริชาร์ดสเตร้าซ์ มีการ modulation ที่ผันผวนระยะทางสั้นๆ ภายใต้จุดยืนพื้นบางอย่าง เช่น การเปลี่ยนจาก G minor สู่ D minor โดยมี chord G flat major เล่นคลุมไว้ อีกทั้งการรวมสองบันไดเสียงเข้าไว้ด้วยกัน (polytonal) ซึ่ง บางชุดเป็นบันไดเสียงที่ไม่น่าจะเข้ากันได้เพราะห่างไกลกันในความสัมพันธ์ ซึ่งดูได้จากตัวสะกดชุดโน้ตที่ใช้เป็นสมาชิก สะกดไม่ซ้ำกันเกือบทุกๆตัว เช่น การใช้บันไดเสียง A major และ E-flat minor ร่วมกันใน Elektra ของ Strauss ซึ่งเป็นการใช้ตัวสะกดโน้ตที่ห่างไกลกันและเป็นการใช้องค์ประกอบร่วมกันของบันไดเสียงทางทั้งฝั่ง major และ minor ซึ่งถือเป็น Parallel key
modulation ของ ไปยังบันไดเสียงเครือญาติต่างๆ และการคาดเดาทิศทางแนวโน้มเกี่ยวกับการพัฒนาและคลี่คลายไปของเสียง ผู้ฟังจะติดตามได้อย่างมีรสชาติ เนื่องมาจากมีความหลากหลายและมีทางเลือกให้ไปมากเพราะการใช้ chord diminished seventh ซึ่งมีลักษณะกลวง ไม่หยุดนิ่ง พร้อมจะเกลาต่อไป ความสัมพันธ์ของเสียงที่เดินกันเป็น tritone ระหว่างสมาชิกคอร์ด สร้างความรู้สึกไร้แรงโน้มถ่วง ไม่มีทิศทางและจุดพัก
นอกจากนี้ดนตรีในยุคนี้ อิทธิพลและความแพร่หลายในการใช้ chromatic chord คีตกวียังนิยมใช้และ Mediant และ Submediant chord ซึ่งรากฐานของมันนั้นอยู่บนสมาชิกใน scale ขั้นที่ 3 และ 6 ซึ่งไปขอยืมสมาชิกบางตัวของบันไดเสียง minor มา chord ทั้ง 2 นี้ให้คุณภาพที่ต่างไปจาก chord 1,4 และ 5 เพราะ chord ตำแหน่งพื้นต้นที่ใช้กันมากในยุคคลาสสิค (chord พื้นต้น 1,4,5 จะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับ tonic มากกว่า และง่ายกับการจัดการงานเพลงให้เป็นบทๆ เป็นส่วนๆ เพราะ chord หลักๆเหล่านั้นสร้างแรงโน้มถ่วงและความตึงตัวสูงกว่า )
คุณภาพที่เราจะได้รับฟังสำหรับ mediant และ submediant chord คือ สีสันของ minor mode ที่เกิดตัดกับความเป็น Major
และสำหรับ chromatic mediant และ chromatic submediant คือ สีสันคู่ขนานของ mediant และ submediant chord ที่มีมาเพื่อเพิ่มความหลากหลาย chord chromatic 2 คู่หลัง (Mutated chords) ดูเหมือนจะช่วยย้ายความรู้สึกให้ไปอยู่อีกฟากหนึ่งของบันไดเสียงพื้นฐาน
ในส่วนประกอบที่เราเห็นเป็น function ของหน้าที่ในแต่ละประเภทโน้ต มีการใช้ suspension ,passing notes และ anticipation note ที่ควบซ้อนร่วมกัน เกิดขึ้นพร้อมๆกันและคาบเกี่ยวกันซับซ้อน โดยมากจะเป็นเรื่องเสียงที่เกิดขึ้นซ้อนเหลื่อม chord กระด้างที่เกิดขึ้นและยังไม่ได้เกลาหรือไม่ได้มีการเกลาลงในตอนท้ายและจบลงเลย (unresolved dissonances)
ในกฏเกณฑ์เดิมๆ ของการเปลี่ยน chord ความชัดเจนจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่กระบวนการเปลี่ยน( progression ) ดำเนินไป โดยในยุคคลาสสิคการเข้าสู่ chord ใหม่ จะลงตรงตัว มีทางเลือกไม่มากเหมือนยุคนี้และสามารถคาดเดาแนวโน้มของชุดคอร์ดต่อไปได้ รวมทั้งกะประมาณระยะทางที่จะได้ยินอยู่ในบันไดเสียงนั้นๆ โดยเฉพาะในจุดสำคัญของการเชื่อมต่อและจบประโยค แต่ดนตรียุคโรแมนติคตอนปลายสัดส่วนและวิถีจะขึ้นกับอารมณ์และแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ตรรกะเหตุผล ไม่ใช่เดินบนทางเลือกของความเป็นไปได้แห่งกฏเกณฑ์
กล่าวโดยสรุปคือ chromatic ในดนตรี tonal มีรากฐานตั้งอยู่บน chromatic scale ซึ่งขยายขอบเขตในการสอดประสานออกไป มากกว่าในยุคที่ผ่านมา ( คือยุคของ diatonic tonal ) ลักษณะรูปแบบของ chromatic tonal harmony มีดังต่อไปนี้
1. Chromatic mediant relationship
2. Direct Modulations
3. Tritone relationships
4. Real sequences
5. Brief tonicizations
6. Suspended tonality
7. Enharmonicism
8. Parallel voice leading
9. Diminisded-7th chords
10. Nonfunctional chord successions
11. Voice-leading chords
12. Augmented triads
13. Unresolved dissonances
14. Equal division of the octave
15. Nonfunctional bass lines
16 Unclear distinction between chord tones and embellishments
แก้ไขล่าสุด ( วันอาทิตย์ที่ 03 พฤษภาคม 2009 เวลา 23:26 )
อิทธิพลของซิมโฟนีโดยโมสาร์ท (1756-1791) ที่มีต่อดนตรีตะวันตก
อิทธิพลของซิมโฟนีโดยโมสาร์ท (1756-1791) ที่มีต่อดนตรีตะวันตก
ดนตรี ของโมสาร์ทเข้าถึงความลึกซึ้งโดยปราศจากความหรูหราเอิกเกริก ความสดใสกระจ่างที่ไม่วกวนซ้ำซาก และความเรียบง่ายแต่ไม่ตื้นเขิน ในความเป็นจริงแล้วเขาประพันธ์ซิมโฟนีถึง 60 บท แต่ผลงานจำนวนเกือบ 20 บทที่เป็นงานชุดทดลองไม่ได้นับรวมเข้าไปด้วย และมีงานส่วนเกินอีก 2 บทที่เข้าใจผิด เอาไปนับรวมอยู่ในซิมโฟนีทั้ง 41 บทแต่ตามความเป็นจริงแล้วแต่งขึ้นโดยเลโอโปลด์คนพ่อ และอีกบทเป็นของเอเบล
โม สาร์ทสะสมประสบการณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานจากการเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ได้รับอิทธิพลจากประเทศเหล่านี้ คือเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส (โดยเฉพาะอิทธิพลจากโอเปร่าของอิตาลี ) วัตถุ ดิบและความคิดสร้างสรรค์ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการศึกษางานของไฮเดิ้น และ การค้นพบประจักษ์แจ้งด้วยความเข้าใจในงานของบาค รวมถึงสัมพันธภาพการไปมาหาสู่กับบาค และเอเบล (Abel) ซึ่งประพันธ์เพลงที่ประณีต ส่งผลกับงานซิมโฟนีโมสาร์ท 2-3 บทแรก แต่เขาก็ไม่ลอกแบบของความละเอียดอ่อนสไตล์เอเบลมา
โมสาร์ทเริ่มแต่งซิมโฟนีเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 8-9 ปีตอนที่เขาอาศัยอยู่ที่ลอนดอน ราวๆ 25 ปี ก่อนที่ไฮเดิ้นจะไปที่นั่น โมสาร์ทและไฮเดิ้นได้รับอิทธิพลซึ่งกันและกัน การพัฒนาการในการแต่งซิมโฟนีของโมสาร์ทก็เช่นเดียวกับไฮเดิ้น คือบรรลุถึงจุดสูงสุดของความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น สังคีตลักษณ์ (Form)ที่สมบูรณ์ได้สัดส่วน ส่วนในเรื่องสไตล์ซึ่งมีลักษณะของสไตล์ Galant ปะปนหลายส่วน และรูปแบบที่เป็นต้นแบบให้คนทั่วไปได้ศึกษา ซิมโฟนีของโมสาร์ทมีสีสันในเสียง (colour) และ ความสมดุลย์ (balance) สูง ด้วยความสามารถในการผสมเสียง (tone colour) ที่มีอยู่ โมสาร์ทได้มอบบทบาทให้กับแนวเครื่องลม (woodwind) เป็นพิเศษ ด้านจังหวะก็มีความสง่างาม (graceful) ความอบอุ่นในกลิ่นอายของสไตล์อิตาลี พื้นเพของเขาซึ่งเป็นพวก Austro-german ส่งผลต่อการประสานเสียงที่ลุ่มลึก (harmonic depth) พื้นผิวที่น่าสนใจ (Textural interest) การจัดวางประโยคที่ฉลาด และบาง แบ่งแยกโดยละเอียด modulationที่ ดี ถึงแม้จะไม่เปลี่ยนไปจากคีย์หลักมากเท่ากับที่ไฮเดิ้นทำ และบ่อยครั้งที่การเปลี่ยนบันไดเสียงไม่มีทำนองหลักนำมาปรากฏเพื่อเป็นตัว บ่งแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้หลายคนเห็นว่าพัฒนาการทางสไตล์ของโมสาร์ทมีน้ำหนักน้อยกว่าด้านไฮเดิ้น การใช้ counterpoint ของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องสีสันของเสียงเท่าๆกับองค์ประกอบระยะยาว ช่วงแรกสุดจะมี Fux counterpoint ด้วย การสร้าง chord ของเขาได้สำนวนหนาแน่นดี การขับเคลื่อนของ motive และการดึงการคลาย (tension) ของ chod progression ทางโมสาร์ทจะเลื่อนไหลกว่าของไฮเดิ้น โดยเฉพาะบนผิวหน้าของทำนอง
ซิมโฟนีของโมสาร์ทระยะแรกรับอิทธิพลและรูปแบบจากอิตาลี ในเรื่องของ form นั้นได้รับมาจาก Italian opera overture หรือ sinfonia ซึ่งประกอบด้วย ท่อน Allegro ท่อน Andante ในคีย์ minor คู่ขนานหรือ คีย์ที่เป็น subdominant และปิดท้ายด้วยท่อนที่มีรูปแบบเพลงเต้นรำแบบ Minuet หรือ gigue ในอัตราจังหวะ 3/8, 6/8 การใช้ turn วิ่งโลดโผน และ tremolo เขาได้รับมาจากการแสดงในโรงอุปรากร และทิศทางระยะยาวของความสืบเนื่องของเพลง (linear direction) ยังทำได้ไม่แนบเนียน ต่อมาไม่นานโมสาร์ทเริ่มเปลี่ยนมาแต่งในสไตล์ของเวียนนา ซึ่งไฮเดิ้นเป็นผู้ริเริ่ม คือมี 4 movement ท่อนแรก Allegro ท่อนที่สอง Andante Moderatoท่อนที่สาม Minuet and Trio และท่อนที่สี่ Allegro
เวลาผ่านไป การผสมผสานของอิทธิพลของอิตาลีและเยอรมันยังคงดำเนินต่อไป ตรงช่วงเชื่อมต่อ (transition) จะใช้เทคนิควิธีบรรเลงแบบสไตล์อิตาเลียนคือ tremolo trill และ เล่นเสียงกระโดด ว่องไว และตะครุบ ท่อนช้าจะเป็น Cantabile Andante และ ท่อนสุดท้าย (Finale) ท่อนแรกและท่อนที่สองบรรเลงต่อกันไม่หยุด และในส่วน exposition กับ recapitulation จะเชื่อมต่อกันด้วย การใช้ dominant pedal รูปแบบจังหวะเป็นแบบ compound time ( 3/8 6/8 12/8 ) และยังมีสไตล์ของ Divertimento และรูปแบบของทำนองที่เหมือนกับแบบฝึกหัดของ counterpoint
การใช้ความแตกต่างของเสียงดังเบา (dynamic) จังหวะเคลื่อนไหวที่มีพลัง และ ลูกจบ (cadence) ที่คาดเดาไม่ถึงท้ายท่อน ทั้งหมดนี้รับอิทธิพลมาจากไฮเดิ้น โมสาร์ทก็พัฒนาความเป็นตัวเองด้วยรูปแบบประโยค (phrase) ที่วางสลับบทบาทกันเป็นชุดๆ เรียงตัวออกมาใช้ เส้นของแนวทำนองสดใสแบบอิตาเลียนและการใช้โน้ต chromatic ในท่อนช้า และท่อน minuet เต้นรำที่ร่าเริง อุดมสมบูรณ์
ซิมโฟนีช่วงกลางตอนต้น binary form ได้พัฒนาจนเต็มที่ ซึ่งนักประพันธ์กลุ่มชาว Mannheim ชอบใช้ โมสาร์ทได้ยินและได้อิทธิพลจากผลงาน sonata ที่พัฒนาไปเต็มที่ของศิลปินเวียนนาชื่อ Hoffmann กับ Dittersdorf พอสมควร ผลงานช่วงนี้มีการใช้ free canon ,การโต้ตอบ ,แนวทำนองด้านใน (inner line) ที่น่าสนใจ และการล้อกัน (imitation) สั้นๆ ช่วงนี้โมสาร์ทเริ่มเข้าใจและแยกแยะความต่างของสไตล์อิตาลีกับเยอรมันได้ อย่างมาก สีสันที่มีพลังและความสมดุลย์ ประโยคเพลงที่มีเสน่ห์และพลังเป็นเอกลักษณ์ของเขา โมสาร์ทมีสถานการณ์และเงื่อนไขในการประพันธ์ให้ได้งานออกมาสมบูรณ์แบบเป็นหน ทางอันอิสระ มากกว่าที่จะต้องประพันธ์เพราะถูกมอบหมาย
ช่วงปี 1772-3 เป็นช่วงผลิตผลงานออกมาได้มาก นับว่าผลงานมีการผสมผสานระหว่างวัตถุดิบที่มาจากประสบการณ์ต่างๆ ซิมโฟนีแต่ละบทก็มีลักษณะเฉพาะ รูปแบบ binary และ crescendo ตอนเริ่มและจบท่อน ฤดูร้อนปี 1773 เป็น จุดเริ่มต้นของความสัมบูรณ์สูงสุดของความสามารถในการแต่งซิมโฟนี โมสาร์ทผลิตงานที่ไม่มีจุดขัดแย้ง และมีความสมดุลย์อย่างมาก ปัญหาที่พบในซิมโฟนีช่วงแรกๆได้หมดไป ทั้งแนวทำนองที่อยู่นิ่งเกินไป จุดสะดุดหู ช่วงจบทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่หละหลวม ความแตกต่างของแนวเดี่ยวและแนวของวงมีความหลากหลายสูง การแบ่งสัดส่วนท่อนตอนที่สมดุลย์ ช่วงนี้มีการย้ำคู่ 8 (syncopated octave) บันไดเสียงวนไปวนมา (whirlwind scale)
ใน ช่วงสิบปีสุดท้ายของชีวิต ผลงานงานแทบทุกประเภทของโมสาร์ทได้รับการยอมรับว่าคุณภาพและองค์ประกอบเป็น เลิศ เป็นช่วงเวลาที่เขาได้ประพันธ์ซิมโฟนีเพียง 6 บท ซึ่งมีมิติแห่งความท้าทายทั้งผู้เล่นและผู้ฟังสูง หมายเลข 39-41 ซึ่งกินเวลาบรรเลงรวมกันชั่วโมงครึ่งนั้นเป็น 3 บทสุดท้ายที่มีความแตกต่างและหลากหลายในเนื้อหาสูงสุด เขาใช้เวลาประพันธ์รวมกันเพียง 6 อาทิตย์ ส่วนงานซิมโฟนีก่อนหน้านั้น (ชุดที่แต่งก่อนปี 1782) ใช้ในจุดประสงค์ของการแสดงคอนเสิร์ต หรือใช้ร่วมกับการแสดงร่วมกับ Concerto และ Arias ซิมโฟนี12 เบอร์ แรกเห็นได้ชัดว่าเหมือนเป็นงานช่วงทดลองปรับตัว เหมือนกับงานของเด็กเข้าวงการใหม่ๆ ยังไม่มีน้ำหนักเป็นเรื่องราว เป็นช่วงที่โมสาร์ทได้ตั้งหลักเป็นศิลปินอิสระในกรุงเวียนนา
สไตล์ การแต่งซิมโฟนีของโมสาร์ทมีหลากหลายแต่จะหาดูความสมบูรณ์ที่สุดได้ในผลงาน ซิมโฟนีบางส่วนแค่ช่วงท้ายๆ ชีวิตเมื่อนึกถึงโมสาร์ทเราจะมองไปในทิศทางและมุมมองที่โน้มเอียงไปในสิ่ง ที่มีความสดใส เป็นเสียงประดิษฐ์ประดอยอย่างน่ารัก กระจุ๋มกระจิ๋ม ท่วงทำนองที่มองโลกในแง่ดี ไม่ใช่ทำนองที่ชวนฝัน แต่เป็นดนตรีที่มีเหตุผลตามหลักตรรกกะ ของความเป็นไปได้ในอารมณ์และการแสดงออก ซิมโฟนีของเขาให้ความสมดุลย์กับประโยคโต้ตอบ บางบทเช่น Jupiter ให้ความรู้สึกหนักแน่น พร้อมเพรียง และมักจะตามมาด้วยความไพเราะน่ารักเป็นความรู้สึกแย้ง หรือตามด้วยสีสันของอารมณ์ที่ตัดกัน
อย่าง ไรก็ตามอิทธิพลของซิมโฟนีโมสาร์ทที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันมองกันโดยรวมแล้วยัง นับว่าน้อยกว่าของเบโธเฟน ผู้ซึ่งโลกชื่นชมอย่างมากกับความแน่นหนักเข้มข้นของเนื้อหาที่คงความเป็น สากลจักรวาล (universal) และพลานุภาพของมนุษย์ ซิมโฟนีของเบโธเฟ่นบทแรกๆได้รับอิทธิพลทั้งจากของไฮเดิ้นและโมสาร์ท เห็นได้ชัดในหมายเลข 1 และ 2 ( แต่งในปี 1800 และ 1802 ) โมสาร์ทมีลักษณะร่วมกับไฮเดิ้นในเรื่องความพิถีพิถัน ของ harmony และความที่ดนตรีค่อยๆก้าวย่าง เบโธเฟ่นมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตั้งแต่หมายเลข 3 ของเขา ได้เปลี่ยน concept เรื่องสัดส่วน เรื่อง progression chord เรื่อง modulation ไปเป็นแนวของตัวเอง ต่างจากของโมสาร์ทที่เรียบร้อยและค่อยเป็นค่อยไป
แม้ซิมโฟนีของโมสาร์ทชิ้นที่เยี่ยมจริงๆก็มีจำนวนน้อยกว่าซิมโฟนีอันยิ่งใหญ่ทั้ง 9 ของเบโธเฟนอยู่แล้ว ถึงโมสาร์ทจะแต่งออกมาได้มากกว่า 41 บท สังเกตได้ว่าผู้คนมักจะชื่นชอบสุ้มเสียงที่หนักหน่วงมีพลัง ส่งผลสะเทือนต่ออารมณ์ฉับพลัน เป็นสัดส่วนที่มากกว่าพวกที่ชอบทำนองลักษณะบางเบา ไปเรื่อยๆไม่โลดโผน ไม่ว่าซิมโฟนีบทนั้นจะแต่งขึ้นโดยใคร ถ้าสามารถแสดงความยิ่งใหญ่ในจิตวิญญาณ และเรานั้นรู้สึกถึงอัตตาที่แผ่ขยายออกเรื่อยๆยามได้ยินได้ฟัง จะช่วยปลุกเร้ากระแสของความนิยมและผู้คนชื่นชมในผลงานของคีตกวีคนนั้นอย่างมาก
แก้ไขล่าสุด ( วันอาทิตย์ที่ 03 พฤษภาคม 2009 เวลา 23:28 )
ผลงาน Character Piece สำหรับ Piano ในยุคโรแมนติค
ผลงาน Character Piece สำหรับ Piano ในยุคโรแมนติค
Character piece เป็น คำจำกัดความหมายถึงผลงานขนาดกลาง ซึ่งมีบุคลิกลักษณะและลีลาเฉพาะตัว บทประพันธ์ประเภทนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการหาทางออกใหม่ๆให้กับดนตรี โดยมากใช้ทักษะการบรรเลงระดับปานกลาง แต่บางบทก็มีความยากไม่แพ้เพลงขนาดใหญ่อย่าง Sonata ดังเช่นผลงาน Ballade, Scherzo ของ Chopin, ผลงาน Impromptu ของ Schubert, ผลงาน Piano cycle ชุด Carnaval ของ Schumann
Character piece รูปแบบต่างๆเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละศิลปิน แล้วแต่ว่าจะนิยมประพันธ์เพลงในอารมณ์และลีลาไหนเป็นพิเศษ เป็นต้นว่า
Brahms โดดเด่นใน รูปแบบ Intermezzo, Capriccio, Rhapsody
Chopin เป็นผู้พัฒนา Nocturne, Ballade, Scherzo, Etude และ Prelude
Schubert เป็นต้นแบบของ Impromptu, Moment music
Schumann โดดเด่นใน Piano cycle, Klavierstucke, Novelletten, Romanze
Dvorak เป็นผู้นำเสนอในรูปแบบเล็กๆของ Silhouette, Humoresque, Poetic tone picture
Grieg นำเสนอเพลงชุดเปียโนภายใต้ชื่อ Lyric pieces
Mendelssohn นำเสนอเพลงชุดเปียโนภายใต้ชื่อ Song without words
ประเภทของผลงาน Character Piece
Arabesque เป็นรูปแบบเพลง ที่เน้นการกระจายและพลิ้วไหวของทำนองและองค์ประกอบต่างๆในเพลง เน้นไปที่ลีลาอันอ่อนโยนและอารมณ์ Schumann เป็นตัวอย่างที่ดี
Ballade ใน ศ. ที่ 19 คำๆนี้ใช้แสดงความหมายของโคลงกลอนเล่าเรื่อง (narrative poem) ซึ่งมีหัวข้อเด่นเฉพาะเรื่อง เรื่องลึกลับ หรือเรื่องเศร้าเสียใจ รูปแบบ (form) มีความกระชับ เนื้อหา (structure) หนักไปในลักษณะแห่งบทละคร (dramatic)หลักของความตัดกัน(contrast) ถูกเอาออกมาใช้ได้ผลอย่างมาก Chopin ให้ความหมายของ Ballade ในลักษณะของ extended single-movement สำหรับเปียโน Ballade และ Rhapsody บางครั้งก็มีการแบ่งแยกที่คลุมเครือ Chopin และ Brahms เป็นตัวอย่างของบทเพลงประเภทนี้
Barcarolle เป็นเพลงล่องเรือ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเรือ gondola ในเมือง Venice มีจังหวะที่ให้อารมณ์แกว่งไกว (swing) ซึ่งมักจะอยู่ระบบจังหวะ compound time Chopin เป็นตัวอย่างที่ดี
Berceuse เป็นเพลงขับกล่อม (Lullaby) ตัวอย่างที่ดีคือ Berceuse ของ Chopin
Capriccio ประกอบด้วยจังหวะที่สนุกสนาน และอารมณ์ที่ตื่นตัว ฉับไว มีความหลากหลายย่อยที่แตกออกไปได้หลายลักษณะ Brahms และ Mendelssohn เป็นตัวอย่างที่ดี
Etude (หรือ Study) เป็นบทประพันธ์เพื่อการพัฒนาทักษะฝีมือการเล่นโดยเฉพาะ คีตกวีหลายคนได้พัฒนา form นี้ให้เป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ได้แก่ Paganini, Chopin, Liszt และ Debussy
Fantasia (หรือ Fantaisie) โครงสร้างของ form ชนิดนี้ค่อนข้างปล่อยอิสระ ไม่เคร่งครัด เพื่อเปิดโอกาสให้แสดงอารมณ์ความรู้สึก และไม่ต้องคำนึงถึงสมดุลย์เหมือนใน Classical form โดย Bach เป็นผู้ริเริ่ม ต่อมายัง Mozart แต่คีตกวีที่เกี่ยวพันกับรูปแบบนี้ในยุคโรแมนติคคือ Schubert, Chopin และ Schumann
Impromptu เป็นผลงานสั้นๆที่ บรรเลงคล้ายด้นสด (improvise) แนวทำนองไม่สู้จะมีความสำคัญเท่าใด Impromptu ของ Schubert เป็นตัวอย่างที่ดี
Intermezzo ความหมายเดิมคือการแสดงเบาๆคั่นระหว่างช่วง drama และ opera มักจะมีอัตราจังหวะปานกลางและพิถีพิถัน อีกความหมายหนึ่งเป็น concert piece ที่เป็น single-movement สำหรับ piano ซึ่งมีลีลาสงวนท่าทีในการแสดงความรู้สึก ทำนองทั้งหมดจะพยายามไม่ให้ออกนอกขอบเขตของความเบาสบายและอารมณ์อันสงบเงียบ ซึ่งโดยปกติ Intermezzo มักจะหลีกเลี่ยงความแตกต่างของน้ำหนักและอารมณ์ที่มากเกินอยู่แล้ว Brahms เป็นต้นแบบและแบบอย่างที่ดี
Moment Music เป็นบทเพลงบรรเลงคั่นระหว่างช่วงเวลา ไม่เน้นเนื้อหาสาระ และไม่นิยมความซับซ้อนทั้ง form และ harmony คีตกวีที่มีผลงานประเภทนี้คือ Schubert, Rachmaninoff
Nocturne เป็นผลงานบรรเลงแสดงบรรยากาศยามค่ำคืน (night-piece) โดย John Field เป็นผู้ริเริ่ม และต่อมา Chopin พัฒนาและดัดแปลง เป็น form ที่ใช้สำหรับเปียนโน ลักษณะเด่นคือ melody มีลักษณะเพลงร้อง (cantabile) และจะถูกประดับประดาด้วย ornament แบบต่างๆ และในส่วนของ accompamiment มักเป็นการกระจายของ arpeggio หรือ chord ซึ่ง texture แบบนี้ก็พัฒนามาจาก alberti bass คุณสมบัติต่างๆนี้ได้ส่งให้เพลงมีลักษณะเป็นเหมือนบทร้อยกรอง (lyrical)
คำว่า nocturne อาจมีที่มาจากคำว่า notturno ซึ่งเป็น serenade ชนิดหนึ่งในอิตาลี ซึ่งมีหลาย movement สำหรับ chamber ensemble ในสมัยก่อน
Prelude เป็นเสมือนบทนำ คีตกวีที่เป็นต้นแบบคือ Bach (Prelude and Fugue ทั้ง 24 บท) และสำหรับยุคโรแมนติค prelude ของ Chopin (24 บท) ถือว่าไม่มีใครเทียบ
Rhapsodie ความหมายทั่วไปคือ classical poetry จะให้อารมณ์ที่จริงจังและแฝงด้วยพลังกว่า บางครั้งถูกนำไปผสมกับเพลงพื้นเมือง เช่น Hungarian Rhapsody ของ Liszt
Romance เป็นรูปแบบสั้นๆของดนตรีที่แสดงห้วงอารมณ์อ่อนหวาน หรือเกี่ยวกับความรัก เช่น Romance ของ Schumann, Brahms
Scherzo เป็นภาษาอิตาเลียน เป็น form เพลงที่สื่อแสดงถึงอารมณ์ตลก ล้อเลียน อากัปกิริยาเคลื่อนไหว มักอยู่ในอัตราจังหวะ triple ซึ่งรวดเร็ว Scherzo พัฒนามาจากอารมณ์ร่าเริงของ minuet คำๆนี้ยังใช้เป็น movement ใน sonata และ symphony โดย Beethoven ตั้งแต่ครึ่งหลังของ ศ.ที่ 19 ในงาน orchestra ของ Bruckner, Mahler, Sibelius, Walton) และที่อยู่นอกแบบแผนทาง symphonic คือ Scherzo ของ Chopin ทั้ง 4 บทสำหรับ piano
Serenade เป็นบทเพลงบรรเลงยามเย็น ให้อารมณ์สบายๆดำเนินไปเรื่อยๆ
Toccata เป็นแนวเพลงของการแสดงเทคนิค และวาดลวดลายในฝีมือ ใช้โน้ตถี่ เน้นไปที่การไล่โน้ตขึ้นๆลงๆอย่างโลดโผน
Piano Cycle เป็นบทเพลงสั้นๆที่แต่งและรวบรวมไว้เป็นชุด ตั้งแต่ 4-5 เพลงไปจนถึง 40 กว่าเพลง โดยที่โครงสร้างและ form ของแต่ละเพลงสั้นๆนั้น เริ่มขึ้นและจบลงในตัวเอง อาจจะมีพัฒนาข้ามเพลงไปท่อนอื่น ตัวอย่างของ Piano Cycle คือ Song without word ของ Mendelssohn, Lyric Pieces ของ Grieg ในการแสดง Piano Cycle ต้องแสดงทั้งชุด ไม่ควรจะเลือกมาเฉพาะเพลง เพราะเนื้อหาเรื่องราว ตลอดจนวัตถุดิบที่ใช้ถือว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน
แก้ไขล่าสุด ( วันอาทิตย์ที่ 03 พฤษภาคม 2009 เวลา 23:31 )